>> ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Blogger BIT1221 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ<<

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทวิตเตอร์ปรับ เพิ่มปุ่มร้องเรียน


      "ทวิตเตอร์" ประกาศจะเพิ่มปุ่มรายงานข้อความไม่พึงประสงค์ในระบบแอนดรอยด์และเครื่องพีซีความเคลื่อนไหวดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากกรณีของนางแคโรไลน์ คริเอโด เปเรซ นักเคลื่อนไหวชาวอังกฤษ ร้องเรียนว่าตกเป็น เหยื่อ ถูกโพสต์ข้อความน่ารังเกียจ จากการที่นางเปเรซต่อสู้ให้มีรูปผู้หญิงบนธนบัตรอังกฤษนางเดล ฮาร์วีย์ ผู้บริหารทวิตเตอร์ระบุว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดตามตรวจข้อความร่วม 400ล้านทวีตที่มีในแต่ละวัน แต่ทราบ ดีว่ามีผู้ไม่หวังดีใช้ทวิตเตอร์ล่วงละเมิดผู้อื่น ทั้งนี้ ตระกูลไอโอเอสมีปุ่มดังกล่าวก่อนหน้านี้แล้ว 


วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แอพ Gmail บน iOS อัพเดต: เชื่อมต่อกับ Google+ และ Google Drive ได้ดีขึ้น

กูเกิลได้อัพเดตแอพ Gmail บน iOS เป็นเวอร์ชัน 2.4 โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
-แสดงภาพ thumbnail ของไฟล์แนบใหญ่ขึ้น
-แตะรูปภาพเพื่อดูภาพขนาดเต็มได้
-หากมีลิงก์จาก Google+ หรือ Google Drive เมื่อแตะที่ลิงก์แล้วจะสลับไปยังแอพนั้นทันที (หากลงแอพนั้นไว้)
-สามารถจัดการกับไฟล์แนบของ Google Docs ได้ดีขึ้น




วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

iOS 7 Gold Master เริ่มปล่อยกันยายนนี้

          iOS 7 Gold Master (GM) เป็นชื่อเวอร์ชั่นที่บ่งบอกถึงความพร้อมที่สุดของระบบปฏิบัติการใหม่จาก Apple ที่จะส่งถึงผู้ใช้ iPhone กับ iPad ทั่วโลก 






           ซึ่งเว็บไซต์ BGR ได้ให้ข้อมูลว่า Apple ได้กำหนดระยะเวลาในการปล่อย iOS 7 Gold Master เป็นที่เรียบร้อย โดยจะเริ่มต้นส่งให้กับพาร์ทเนอร์หรือพันธมิตรทางการค้าในวันที่ 5 กันยายนนี้ ต่อมาในวันที่ 10 กันยายนจะเป็นคิวของนักพัฒนาที่จะได้สัมผัสกับ iOS 7 Gold Master ควบคู่ไปกับ iPhone 5S กับ iPhone 5C ที่จะเปิดตัวในวันเดียวกันอีกด้วย และหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ก็จะเป็นโอกาสของบุคคลทั่วไปที่จะได้เริ่มอัพเดต iOSรุ่นเก่าไปเป็นรุ่นใหม่ ซึ่งถือว่าจะเข้าทำนองเดียวกับการเปิดตัว iOS 6 เมื่อปีที่ผ่านมาเช่นกัน

Windows 8.1 เริ่มให้ใช้ทั่วโลก ตุลาคมนี้

           Microsoft ประกาศเริ่มปล่อย Windows 8.1 อย่างเป็นทางการ ให้อัพเดตพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ซึ่งผู้ที่ใช้งาน Windows 8 อยู่สามารถเข้าไปอัพเดตได้ทาง Windows Store โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ 




          Windows 8.1 สามารถรองรับการทำงานบนแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วจนถึง 10.6 นิ้วได้ และเป็นที่มาของข่าวลือของ Surface รุ่น 2 ขนาด 7-8 นิ้วที่ Microsoft กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้

ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=417125

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"ไป่ตู้" จับมือ "ESET" มอบแอนตี้ไวรัสตัวเต็ม ฟรี 6 เดือน

        ผู้จัดจำหน่ายระดับเอ็กซ์คลูซีฟของซอฟต์แวร์ “ESET” ในเมืองไทย มอบสิทธิพิเศษให้คนไทยในการใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสใหม่ล่าสุดที่ได้รับรางวัล การันตีคุณภาพอย่าง “ESET Smart Security 6” จำนวน 200,000 ชุด ฟรี!
     ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมแอนตี้ไวรัส “ESET Smart Security 6” แบบ 3 เดือนและ 6 เดือนฟรีผ่านพีซี แอพ สโตร์ (PC App Store) ใน Baidu PC Faster และหากต้องการใช้งานนานกว่านั้น ยังได้รับส่วนลดพิเศษ 20% ในการสั่งซื้อ ESET Smart Security 6 license 1 ปีผ่านทางออนไลน์




          ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของคอมพิวเตอร์ในเมืองไทยมีการติดตั้ง “Baidu PC Faster” อยู่ในเครื่อง โดยโปรแกรมฟรีนี้สามารถจัดการปัญหาที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตที่มีปัญหากันบ่อยๆ
          Quick Care: ตรวจสุขภาพคอมพิวเตอร์แบบเร่งด่วน ปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยพีซี เพียงคลิกเดียว
          Cleaner: ทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ ลบไฟล์ขยะ เพิ่มพื้นที่ฮาร์ดิสก์
          Speed up: เพิ่มความเร็วคอมพิวเตอร์ วินโดวส์ และ อินเทอร์เน็ต
           Win Update: ดาวน์โหลดแพทช์ที่จำเป็นและเหมาะสมที่สุด เพื่อปรับปรุงวินโดวส์ของคุณ ด้วยวิธีอันชาญฉลาด หยุดแฮกเกอร์ โทรจัน และ ไวรัส ที่จะโจมตีเข้ามาอย่างง่ายดาย
          Game Faster:  สนุกกับการเล่นเกมส์ที่เร็วขึ้น เพียง 1 คลิก
          PC App Store: ให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์คุณภาพกว่า 1,000 รายการอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถบริหารจัดการซอฟต์แวร์ที่อยู่ในเครื่องได้อย่างสะดวก

ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=417154

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เตือนภัย!! ระวัง ถูกฉกความลับผ่าน “อินสตาแกรม“

           อินสตาแกรม - พักนี้มีผู้นำเอาบริการโซเชียลมีเดีย หรือที่เรียกกันว่า สื่อเครือข่ายสังคมออนไลน์ ไปใช้ในทางร้ายๆ กันเยอะ ล่าสุด เทรนด์ไมโคร ผู้ให้บริการด้านการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ ออกมาเตือนบรรดาผู้ใช้อินสตาแกรม ที่ต้องการคน "ฟอลโลว์" เยอะๆ เป็นพิเศษว่าให้ระวัง จะพาตัวไปหาความยุ่งยากถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวเอาได้
         วิธีการใหม่ของคนร้ายที่ใช้ผ่านอินสตาแกรมหนนี้นั้นดูร้ายแรงกว่าที่ผ่านมา เพราะเจาะจงเล่นงานคนที่อยากได้ "ฟอลโลเออร์" เยอะๆ เรียกเอาเงินเป็นการตอบแทน และเพราะว่าโลโก้ของอินสตาแกรมนั้น ใครๆ ก็สามารถนำไปใช้กันได้อย่างเสรี ทุกคนถึงไม่ระแวงกันว่า เป็นเรื่องแปลกปลอมหรือไม่
          คนที่อยากได้คนติดตาม อินสตาแกรมของตัวเองเยอะๆ เมื่อหลงคลิกเข้าไป จะถูกนำไปสู่เว็บไซต์ที่กำหนดให้กรอกทั้ง ยูสเซอร์เนม, อีเมล์, หมายเลขโทรศัพท์ แล้วก็ข้อมูลในการชำระเงิน ภาษาที่ใช้เป็นภาษารัสเซีย ไม่มีภาษาอังกฤษสักคำ ทำให้ผู้ใช้ยิ่งงงๆ เข้าไปใหญ่ แต่ก็ดูไม่น่าเคลือบแคลงสงสัยอะไร กรอกข้อมูลทั้งหมดเข้าไป ก็จะได้รับแมสเสจตอบมาว่า จะได้รับการติดต่อกลับโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วทุกอย่างก็จบลงตรงนั้น ข้อมูลของเราจะถูกนำไปใช้อย่างไรหลังจากนั้น ไม่มีใครรู้ แต่ไม่ใช่ทางที่ดีแน่ๆค่ะ

“เอซุส” ส่ง “M51AC” เดสก์ท็อปพีซีประสิทธิภาพเหนือพิกัด เพื่อการใช้งานด้านมัลติมีเดียและการเล่นเกมที่ไร้ที่ติ

     “ASUS M51AC-TH006D” เดสก์ท็อปพีซีรุ่นใหม่ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Core i5/i7 เจนเนอเรชั่นที่ 4 เวอร์ชั่นล่าสุด ที่สามารถประมวลผลและเล่นไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกราฟฟิกส์การ์ดทรงพลังอย่าง NVIDIA? GeForce GTX 650 และระบบ 3D Vision Surround ให้การเล่นเกมแบบสามมิติเป็นไปได้อย่างสุดมันส์ สามารถต่อพ่วงเข้ากับจอมอนิเตอร์ได้พร้อมกันถึง 3 จอในการเล่นเกมแต่ละครั้ง มาพร้อมระบบเสียง ASUS SonicMaster ลิขสิทธิ์เฉพาะจากเอซุส พร้อมซอฟท์แวร์ปรับจูนเสียง ASUS AudioWizard ช่วยยกระดับประสบการณความบันเทิงให้เปี่ยมอรรถรสขึ้นไปอีกขั้น ภายใต้รูปลักษณ์เรียบง่ายสวยงาม ด้วยรูปทรงที่กระทัดรัดที่มีผิวสัมผัสพิเศษที่สามารถกันรอยนิ้วมือบริเวณหน้าเคสได้เป็นอย่างดี


หลุดบริการใหม่ Google Helpouts – ช่วยเหลือคนผ่านวิดีโอ Hangouts

          มีคนค้นพบบริการใหม่ของกูเกิลชื่อ Helpouts ซึ่งมันคือ Google Hangouts เวอร์ชันที่ใช้เพื่อการช่วยเหลือกันผ่านวิดีโอ เช่น สอนการซ่อมจักรยานหรือทำกับข้าว แบบเห็นหน้าและสาธิตให้ดูได้ผ่านอุปกรณ์พกพา ตอนนี้ Helpouts ยังไม่เปิดบริการทั่วไป และจำเป็นต้องใช้ invitation code ในการสมัครค่ะ เราสามารถเข้าไปดูกันเล่นๆ ได้ที่หน้าเว็บ Helpouts) ค่ะ


วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

5 วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มสัญญาน Wi-Fi


5 วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มสัญญาน Wi-Fi ในบ้านของเราเอง


           หลายๆคนที่ได้ทำการติดตั้ง Wi-Fi ไว้ที่บ้าน มักจะพบกับปัญหาเกี่ยวกับเน็ตช้า ทำให้เสียอารมณ์ ดังนั้นดิฉันจึงขอแนะนำวิธีง่ายๆในการปรัปแต่งการใช้งานให้สัญญาณWi-Fi ที่บ้านแรง และ เร็ว ขึ้นกว่าเดิมน่ะค่ะ
           1.อัพเดทเทคโนโลยีของอุปกรณ์ที่ใช้ โดยการตั้งค่าของเราท์เตอร์เป็น N-mode only เพื่อให้ได้ความเร็ว และรัศมีครอบคลุมการใช้งานสูงสุด โดยที่เราตั้งค่าเป็น b/g/n เพื่อให้สนับสนุนการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ทำงานช้า ถ้าสมมุติว่า พีซี ที่เราใช้อยู่มาพร้อมกับการ์ดเชื่อมต่อด้วย Wireless-G  แนะนำให้ใช้รุ่นใหม่ที่เป็น Wireless-N มาใส่แทนค่ะ


          2. หาที่วางเราท์เตอร์ที่ให้สัญญาณแรงและเร็วที่สุด จากการที่พบเห็นการทั่วไปตามบ้านที่ทำการติดตั้งWi-Fi บางบ้านไม่ค่อยสนใจเรื่องการวางเราท์เตอร์ เนื่องจากคิดว่าไม่สำคัญอะไร เช่นวางเราเตอร์ไว้ที่อับ ดังนั้น ดิฉันจึงอยากบอกว่าอย่าคิดเช่นนั้นน่ะค่ะ เพราะว่าเราท์เตอร์ที่เราเห็นเป็นอุปกรณ์ที่ร้อนเร็วมาก และมันก็ต้องการอากาศถ่ายเทสะดวก ดังนั้นเราควรที่จะวางมันไว้ที่โล่ง เช่น ตรงกลางบ้าน พยายามหั้ยอยู่ห่างจากฝาผนังน่ะค่ะ และก็สิ่งกีดขวาง อย่างเช่น ตู้เอกสารที่ทำจากเหล็ก เพราะว่าจะทำให้สูญเสียสัญญาณครึ่งหนึ่งที่ส่งออกไป แถมยังจะกลายเป็นการสร้างจุดบอดของสัญญาณภายในบ้านด้วยค่ะ ทางที่ดีที่สุดสำหรับการติดตั้งเราท์เตอร์น่ะค่ะ คือ ที่สูงดีกว่าที่ต่ำ โดยเฉพาะบ้านสองชั้น หรือไว้บนตู้สูงๆๆค่ะ  



          3. โดยการที่เราทำการปรับแต่งเลือกช่องสัญญาณที่มีการรบกวนน้อยที่สุดค่ะ จะช่วยให้เราได้สัญญาณWi-Fi ที่แรงขึ้นค่ะ ถ้าสนใจน่ะค่ะกับวิธีการนี้ ลองศึกษาคู่มือ หรือค้นหาวิธีการเปลี่ยนช่องสัญญาณ ค่ะ


           4. ลดสัญญาณรบกวนการทำงานจากอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ความถี่ในย่าน 2.4GHz
 เช่น โรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ ซึงอุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งคลื่น 2.4GHz ที่แรงมาก จนรบกวนให้สัญญาณ Wi-Fi ของเราสู้ไม่ได้ค่ะ แนะนำให้วางเราท์เตอร์ห่างไกลจากอุปกรณ์พวกนี้ค่ะ 




          5. ดูแลเน็ตเวิร์กให้ปลอดภัยค่ะ เป้นวิธีที่จะช่วยให้สัญญาณWi-Fiของเราไม่ถูกแอบใช้จดช้าไปหมดค่ะ เนื่องจาก Home Wi-Fi จะมีการปล่อยสัญญาณWi-Fi ออกไปนอกบ้าน หากเราไม่ได้ทำการติดตั้งค่าระบบการรักษาความปลอดภัยเอาไว้ เช่น การเข้ารหัส คือว่าเราท์เตอรืใหม่ๆ จะได้รับผลกระทบต่อประสิทธิภาพความเร็วน้อยมาก แต่ก็ดีกว่า การโดนคนอื่นแอบใช้สัญญาณWI-Fi ของเราไปเล่ยอินเตอร์เน๊ต โหลดบิต ดูยูทูป ที่แย่ไปกว่านั้นคือ แฮคเกอร์ สามารถใช้เน็ตเวิร์กที่ไม่ได้รับการดูแลเรื่องความปลอดภัย โดยที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของเราได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบให้แน่ใจเลยว่า ได้ตั้งค่าการเข้ารหัสด้วย WPA2 และใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงด้วยค่ะ


       หวังว่า ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้อ่าน น่ะค่ะ

       ที่มา http://www.arip.co.th/news.php



วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Cloud Computing (งานรายบุคคล)

         
Cloud  Computing 



                                        http://www.zeusbkk.com/article/content/CloudComputing


          คำว่า Cloud Computing จากการได้ศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆจะมีผู้ให้คำนิยามไว้หลายอย่างมาก เช่น การประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผุ้ใช้ โดยที่ผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟแวร์ของระบบ Cloud Computing จากนั้นซอฟแวร์ก็จะร้องขอให้ระบบจัดสรรพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยที่ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนทรัพยากรให้กับความต้องการของผู้ใช้ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องรู้หลักการทำงานเบื้องหลังว่าเป็นอย่างไร เป็นต้น
ที่มาของรูป http://mansuang1978.wordpress.com 

     ส่วนประกอบหลักของ Cloud Computing คือ
          1. Clients ซึ่งะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ผู้ใช้จะใช้ติดต่อ เช่น โทรศัพท์มือถือ Smart phone หรือ Thin clients
           2. Services หรือที่เรียกว่า บริการที่จะให้ผู้ใช้มีการเรียกใช้งานแบบ real-time ผ่านทางอินเตอร์เน็ต
           3. Applications คือการที่ผู้ใช้ไม่ต้องทำการติดตั้งและ run application ต่างๆบนเครื่องของตัวเอง เพราะบริษัทที่ให้บริการจะทำหน้าที่ติดตั้งและอัพเกรดให้ทั้งหมด
           4. Platform จำเป็นที่จะต้องขึ้นอยุ่กับ infrastructure ของ virtual computer ตัวอย่าง เช่น Google App Engine
           5. Storage คือว่าข้อมูลของผู้ใช้จะถูกเก็บไว้ใน data center โดยที่ไม่ต้องเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่ของผู้ใช้เอง ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน

      ประโยชน์ของ Cloud Computing 
           ช่วยให้การนำไอทีไปประยุกต์ใช้ในเชิงธุรกิจซึ่งทำได้ง่ายและประหยัด โดยองค์กรสามารถใช้บริการทางด้านไอทีได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนมากมายกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีของเราเอง และยังสามารถเลือกใช้บริการเฉพาะอย่างและการเลือกเสียค่าใช้จ่าย ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะด้านหรือสอดคล้องกับงบประมาณของเราได้

       ข้อดีของ Cloud Computing
           1. ลดต้นทุนค่าดูแลบำรุงรักษา จากค่าบริการซึ่งได้รวมค่าใช้จ่ายตามที่ใช้งานจริง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซ่อมแซม ค่าลิขสิทธิ์ ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น
            2. ลดความเสี่ยงจากการเริ่มต้นหรือทดลองโครงการ
            3. มีความยืดหยุ่นในการเพิ่มหรือลดระบบตามความต้องการ
            4. ได้เครื่องแม่ข่ายที่มีประสิทธิภาพ มีระบบสำรองที่ดี มีเครือข่ายความเร็วสูง
            5. มีผู้เชี่ยวชาญดูแลระบบและพร้อมให้บริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง  

      ข้อเสียของ Cloud Computing 
            1. เนื่องจากการเป็นการใช้ทรัพยากรที่มาจากหลายที่หลายแห่งทำให้อาจมีปัญหาในเรื่องของความต่อเนื่องและความเร็วในการเข้าทรัพยากรมากกว่าการใช้บริการ Host ที่ Local
            2. ไม่มีการรับประกันในการทำงานอย่างต่อเนื่องของระบบและความปลอดภัยของข้อมูล
            3. ไม่มีมาตราฐานของแพลทฟอร์ม ทำให้ลูกค้ามีข้อจำกัดสำหรับตัวเลือกในการพัฒนาหรือติดตั้งระบบ

       ตัวอย่างบริการแอพพลิเคชันบน Cloud Computing 
          Google Apps คือตัวอย่าง Cloud Computing ที่ทำให้เราเห็นว่าของฟรีและดียังมีในโลก ก็คือว่าถ้าเราได้เคยใช้ Google Apps ในการจัดการเอกสารต่างๆ เช่น Google Docs แล้วก็แสดงว่าเราก็เคยผ่าน Cloud Computing แล้ว Google ได้เล็งเห็นความสำคัญของการใช้งาน Office Applications แบบที่เปิดใช้ฟรี ซึ่งทาง Google ก้มีส่วนร่วมในการพัฒนา Office Applications เหล่านี้ด้วยเช่นกัน

             

 

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

งานคู่ เรื่อง Power Supply


Power Supply



 ดูภาพขนาดเต็มได้ที่ http://www.xmind.net/embed/9Nn2/

พาวเวอร์ซัพพลาย(Power Supply)


          เป็นอุปกรณ์หลักที่คอยจ่ายไฟให้กับชิ้นส่วนและอุปณ์ต่างๆทั้งหมดภายในเครื่อง มีรูปร่างเป็นกล่องสี่เหลี่ยมติดตั้งอยู่ภายในตัวเคส          (สามารถถอดเปลี่ยนได้) ทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC)  ตามบ้านจาก 220 โวลต์ให้เหลือเพียงแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC) 3        ชุดคือ 3.3 และ 5 โวลต์ เพื่อจ่ายไฟให้กับวงจรชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ     และ 12 โวลต์ เพื่อจ่ายไฟให้กับมอเตอร์ของอุปกรณ์ดิสก์ไดรว์ต่างๆรวมถึงพัดลมระบายอากาศด้วยปัจจุบันเพาเวอร์ซัพพลายที่จะนำมาใช้ควรมีกำลังไฟตั้งแต่ 400 วัตต์ขึ้นไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆทั้งหมดที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง สำหรับแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ตามบ้าน (ประเทศไทย) โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 200-250 VAC พร้อมกระแสไฟประมาณ 3.0-6.0 A และความถี่ที่ 50Hz ดังนั้นเพื่อให้ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ เพาเวอซัพพลายจะต้องแปลงแรงดันไฟ AC ให้เป็น DC แรงดันต่ำในระดับต่างๆ รวมถึงปริมาณความต้องการของกระแสไฟฟ้าที่จะต้องจ่ายให้กับชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆด้วย โดยระดับของแรงดันไฟ (DC Output) ที่ถูกจ่ายออกมาจากเพาเวอร์ซัพพลายแต่ละรุ่น/ยี่ห้อจะใกล้เคียงกัน แต่ปริมารสูงสุดของกระแสไฟ (Max Current Output) ที่ถูกจ่ายออกมานั้นอาจไม่เท่ากัน (แล้วแต่รุ่น/ยี่ห้อ) ซึ้งมีผลต่อการนำไปคำนวลค่าไฟโดยรวม (Total Power) ที่เพาเวอร์ซัพพลายตัวนั้น จะสามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆได้ด้วย โดยในที่นี้จะยกตัวอย่างรายละเอียดจากเพาเวอร์ซัพพลายยี่ห้อ Enermax ตะกูล Coolergiant รุ่น EG701AX-VH(W) ที่ให้กำลังไฟโดยรวมประมาณ 600 วัตต์ (Watt) ซึ่งมีข้อมูลต่างๆดังนี้

-          แรงดันไฟ(DC Output) +3.3V ปริมาณกระแสไฟ (Current Output) 34 A ใช้กับ เม็นบอร์ด และการ์ดจอ เป็นหลักพอร์ต ต่างๆ
-          แรงดันไฟ(DC Output)+12V1และ +12V2 ปริมารกระแสไป (Current Output) 18A ใชั้กับ ซีพียู, เม็นบอร์ด, มอเตอร์ของอุปกรณ์ดิสก์ไดรว์ต่างๆรวมถึงระบบระบายความร้อนต่างๆ ในที่นี้มาให้ 2 ชุด
-          แรงดันไฟ(DC Output) -12V ปริมารกระแสไฟ (Current Output) 0.8 A ใช้ร่วมกับไฟ +12V เพื่อจ่ายให้กับอุปกรร์ต่างๆ
-          แรงดัน(DC Output) +5VSB ปริมารกระแสไฟ(Current Output) 2.5 A เป็นแรงดันไฟสำรอง (Standby Voltage) ที่ใช้เปิดหรือปลุกการทำงานของเครื่องให้ตื่นขึ้น
-          แรงดันไฟ(DC Output)+5V ปริมาณกระแสไฟ (Current Output) 34 A ใช้กับ เม็นบอร์ด, แรม และอุปกรดิสก์ไดร์รวมถึงจากสภาวะเตรียมพร้อม (Stanby)

ประเภทของ Power Supply แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
  • AT เป็นแหล่งจ่ายไฟที่นิยมใช้กันในประมาณ 4-5 ปีก่อน (พ.ศ. 2539) โดยปุ่มเปิด - ปิด การทำงานเป็นการต่อตรงกับแหล่งจ่ายไฟ ทำให้เกิดปัญหากับอุปกรณ์บางตัว เช่น ฮาร์ดดิสก์ หรือซีพียู ที่ต้องอาศัยไฟในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดเครื่อง (วิธีดูง่ายๆ จะมีสวิตซ์ปิดเปิด จากพาวเวอร์ซัพพลายติดมาด้วย)
  • ATX เป็นแหล่งจ่ายไฟที่นิยมใช้ในปัจจุบัน โดยมีการพัฒนาจาก AT โดยเปลี่ยนปุ่มปิด - เปิด ต่อตรงกับส่วนเมนบอร์ดก่อน เพื่อให้ยังคงมีกระแสไฟหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ก่อนที่จะปิดเครื่อง ทำให้ลดอัตราเสียของอุปกรณ์ลง โดยมีรุ่นต่างๆ ดังนี้
    • ATX 2.01 แบบ PS/2 ใช้กับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปที่ใช้ตัวถังแบบ ATX สามารถใช้ได้กับเมนบอร์ดแบบ ATX และ Micro ATX
    • ATX 2.03 แบบ PS/2 ใช้กับคอมพิวเตอร์แบบ Server หรือ Workstation ที่ใช้ตัวถังแบบ ATX (สังเกตว่าจะมีสายไฟเพิ่มอีกหนึ่งเส้น ที่เรียกว่า AUX connector)
    • ATX 2.01 แบบ PS/3 ใช้กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตัวถังแบบ Micro ATX และเมนบอร์ดแบบ Micro ATX เท่านั้น

ส่วนต่างๆ ของพาวเวอร์ซัพพลาย[แก้]

  • ไฟกระแสสลับขาเข้า (AC Input) พลังงานไฟฟ้าในส่วนนี้ จะมาจากปลั๊กไฟ โดยที่รู้แล้วว่าไฟที่ใช้กันอยู่จะเป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่มีขนาดแรงดัน 220v ความถี่ 50 Hz เมื่อเสียบปลั๊กไฟกระแสไฟฟ้าก็จะวิ่งตามตัวนำเข้ามายังเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ฟิวส์ (Fuse) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการป้องกันวงจรพาวเวอร์ซัพพลายทั้งหมดให้รอดพ้นอันตราย จากกระแสไฟแรงสูงที่เกิดขึ้นจากการถูกฟ้าผ่า หรือกระแสไฟฟ้าแรงสูงในรูปแบบต่างๆ โดยหากเกิดกระแสไฟฟ้าแรงสูงเกินกว่าที่ฟิวส์จะทนได้ ฟิวส์ตัวนี้ก็จะตัดในทันทีทันใด
  • วงจรกรองแรงดัน วงจรกรองแรงดันนี้จะทำหน้าที่กรองแรงดันไฟไม่ว่าจะเป็นแบบกระแสสลับ หรือกระแสตรงก็ตาม ที่เข้ามาให้มีความบริสุทธิ์จริงๆ เพื่อป้องกันแรงดันไฟฟ้าที่ผิดปกติเช่นไฟกระชาก ซึ่งจะเป็นผลให้วงจรต่างๆ ในพาวเวอร์ซัพพลายเกิดความเสียหายขึ้นได้
  • ภาคเรคติไฟเออร์ (Rectifier) หลังจากที่ไฟกระแสสลับ 220v ได้วิ่งผ่านฟิวส์ และวงจรกรองแรงดันเรียบร้อยแล้วก็จะตรงมายังภาคเรคติไฟเออร์ โดยหน้าที่ของเจ้าเรคติไฟเออร์ ก็คือ การแปลงไฟกระแสสลับ ให้มาเป็นไฟกระแสตรง ซึ่งก็ประกอบไปด้วย
    • ตัวเก็บประจุ (Capacitor) จะทำหน้าที่ทำปรับให้แรงดันไฟกระแสตรงที่ออกมาจากบริดเรคติไฟเออร์ ให้เป็นไฟกระแสตรงที่เรียบจริงๆ
    • ไดโอดบริดจ์เรคติไฟเออร์ (Bridge Rectifier) ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของตัว IC หรือแบบที่นำไดโอด 4 ตัวมาต่อกันให้เป็นวจรบริดจ์เรคติไฟเออร์
    • วงจรสวิตชิ่ง (Switching) เป็นวงจรที่ใช้ในการทำงานร่วมกับวงจรควบคุม (Contrlo Circuit) เพื่อตรวจสอบว่าควรจะจ่ายแรงดันทั้งหมดให้กับระบบหรือไม่ โดยถ้าวงจรควบคุมส่งสัญญาณมาให้กับวงจรสวิตซิ่งว่าให้ทำงาน ก็จะเริ่มจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ได้จากภาคเรคติไฟเออร์ไปให้กับหม้อแปลงต่อไป
  • หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) หม้อแปลงที่ใช้ในวงจรสวิตชิ่งซัพพลายจะเป็นหม้อแปลงที่มีหน้าที่ในการแปลงไฟที่ได้จากภาคสวิตชิ่ง ซึ่งก็รับแรงดันไฟมาจากภาคเรติไฟเออร์อีกต่อหนึ่ง โดยแรงดันไฟฟ้ากระแสงตรงที่มีค่าแรงดันสูงขนาดประมาณ 300 v ดังนั้นหม้อแปลงตัวนี้ก็จะทำหน้าที่ในการแปลงแรงดันไฟกระแสตรงสูงนี้ให้มีระดับแรงดันที่ลดต่ำลงมา เพื่อที่จะสามารถใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ก่อนที่จะส่งไปให้วงจรควบคุมแรงดันต่อไป
  • วงจรควบคุมแรงดัน (Voltage Control) เป็นวงจรที่จะกำหนดค่าของแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงที่ได้รับมาจากหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อที่จะให้ได้ระดับแรงดันที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่างๆ โดยค่าของระดับแรงดันไฟฟ้านี้ก็จะมีขนาด 5v และ 12v สำหรับพาวเวอร์ซัพพลายที่ใช้กับเมนบอร์ดแบบ AT แต่ถ้าเป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่ใช้กับเมนบอร์ดที่เป็นแบบ ATX ก็จะต้องมีวงจรควบคุมแรงดันให้ออกมามีขนาด 3.3v เพิ่มอีกหนึ่ง (ซึ่งซีพียูรุ่นเก่าที่ใช้แรงดันไฟขนาด 3.3 v นี้ก็สามารถที่จะดึงแรงดันไฟในส่วนนี้ไปเลี้ยงซีพียูได้เลย)
  • วงจรควบคุม เป็นวงจรที่ใช้ในการควบคุมวงจรสวิตชิ่ง ว่าจะให้ทำการจ่ายแรงดันไปให้กับหม้อแปลงหรือไม่ และแน่นอนว่าในส่วนนี้จะทำงานร่วมกับวงจรลอจิกที่อยู่บนเมนบอร์ด เมื่อวงจรลอจิกส่งสัญญาณกลับมาให้แก่วงจรควบคุม วงจรควบคุมก็จะสั่งการให้วงจรสวิตชิ่งทำงาน

หลักการทำงานของพาวเวอร์ซัพพลาย[แก้]

พาวเวอร์ซัพพลาย ทั้งแบบ AT และ ATX นั้นมีลักษณะการทำงานที่เหมือนกัน คือรับแรงดันไฟจาก 220-240 โวลต์ โดยผ่านการควบคุมด้วยสวิตช์ สำหรับ AT และเมนบอร์ด แล้วส่งแรงดันไฟส่วนหนึ่งกลับไปที่ช่อง AC output เพื่อเลี้ยงตัวมอนิเตอร์ และจะส่งแรงดันไฟ 220 โวลต์ อีกส่วนหนึ่งเข้าสู่หน่วยการทำงานที่ทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟสลับ 220 โวลต์ ให้เป็นไฟกระแสตรง 300 โวลต์ โดยไม่ผ่านหม้อแปลงไฟ ระบบนี้เรียกว่า (Switching power supply ) และผ่านหม้อแปลงที่ทำหน้าที่แปลงไฟตรงสูงให้เป็นไฟตรงต่ำ โดยจะฝ่านชุดอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กำหนดแรงดันไฟฟ้าอีกชุดหนึ่งแบ ่งให้เป็น 5 และ 12 ก่อนที่จะส่งไปยังสายไฟและตัวจ่ายต่างๆ โดยความสามารถพิเศษของ Switching power supply ก็คือ มีชุด Switching ที่จะทำการตัดไฟเลี้ยงออกทันทีเมื่อมีอุปกรณ์ที่โหลดไฟตัวใดตัว หนึ่งชำรุดเสียหาย หรือช็อตนั่นเอง

        

The Pirate Bay ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ “PirateBrowser”

          The Pirate Bay ได้เปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ของตนเองในชื่อ PirateBrowser ความพิเศษของเบราว์เซอร์นี้คือการให้ผู้ใช้สามารถหลบหลีกการบล็อคเว็บไซต์ ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ทำให้เข้าเว็บ The Pirate Bay หรือเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ถูกบล็อคได้ PirateBrowser นี้เป็นเบราว์เซอร์ดัดแปลงจาก Firefox 23 โดยรวมการตั้งค่า client และ proxy ของ Tor มาไว้เพื่อเร่งความเร็วในการดาวน์โหลด

ใครสนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ PirateBrowser

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

iOS 7 Beta5 มาแล้ว

         สำหรับการเปลี่ยนแปลงใน iOS 7 Beta 5 ในเบื้องต้นนี้เป็นการปรับไอคอนบางอย่างในเมนู Setting รวมไปถึงปรับเปลี่ยนหน้าตาในส่วน Control Center ด้วยซึ่งเพื่อนๆสามารถรับชมความแตกต่างระหว่าง iOS 7 Beta 5 กับ iOS 7 Beta 4 ได้จากคลิปด้านล่างเลยครับ ส่วนเพื่อนๆที่ดาวน์โหลดกันมาแล้วเจอบั๊กมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไรบ้างก็สามารถรายงานกันเข้ามาได้นะครับ




วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ส่วนประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ Mind Map



ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด




ดูภาพขนาดเต็มได้ที่  http://www.xmind.net/embed/QLsc/





ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์แบบย่อ


sound-card-labeled




ส่วนประกอบภายในเมนบอร์ด





ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

          คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"
          คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ ซึ่งเราจะมาทำความรู้กับ ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ กันครับ

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทำงานพื้นฐาน 4 อย่าง (IPOS cycle) คือ
          1.ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
          2.ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit)
          3.ส่วนแสดงผล (Output Unit)
          4.หน่วยความจำ (Memory Unit)

1.ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
          ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่หน่วยความจำหลัก ปัจจุบันอุปกรณ์มากมายแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
          - Keyboard (คีย์บอร์ด)
          Keyboard เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการนำข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นปุ่มตัวอักษรเหมือนปุ่มเครื่องพิมพ์ดีด เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยน เป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษร ตัวพิมพ์ใหญ่ และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์
1.Keyboard

          - Mouse (เมาส์)
          Mouse เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลอย่างหนึ่งแต่ที่เห็นการทำงาน โดยทั่วไปจะเป็นตัวที่ใช้ควบคุมลูกศรให้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่างๆ บนจอภาพ เหมาะสำหรับใช้งานเมื่อต้องเลือก หรือเลื่อนวัตถุต่างๆ บนจอ Mouse ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ 2 แบบ ได้แก่ 9 Pin, Serial Port และ PS/2 (Personal System Version2)
2.Mouse

          - Scanner (สแกนเนอร์)
          สแกนเนอร์ คือ อุปกรณ์จับภาพและเปลี่ยนแปลงภาพ จากรูปแบบของแอนาลอกเป็นดิจิตอล ซึ่งคอมพิวเตอร์ สามารถแสดง, เรียบเรียง, เก็บรักษาและผลิตออกมาได้ ภาพนั้นอาจจะเป็นรูปถ่าย, ข้อความ, ภาพวาด หรือแม้แต่วัตถุสามมิติ
3.Scanner

          - Webcam (เว็บแคม)
          เว็บแคมหรือชื่อเรียกเต็มๆว่า Web Camera (เว็บแคเมรา) แต่ในบางครั้งก็มีคนเรียกว่า Video Camera หรือ Video Conference เว็บแคมเป็นอุปกรณ์อินพุตที่ สามารถจับภาพเคลื่อนไหวของเราไปปรากฏในหน้าจอมอนิเตอร์ และสามารถส่งภาพเคลื่อนไหวนี้ผ่านระบบเครือข่ายเพื่อให้คนอีกฟากหนึ่งสามารถเห็นตัวเราเคลื่อนไหว ได้เหมือนอยู่ต่อหน้า ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์อีกตัวหนึ่ง และมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
4.Webcam

          - Microphone (ไมโครโฟน)
          ไมโครโฟน คือ อุปกรณ์รับเสียงแล้วทำการแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อประมวลผลในเครื่องขยายเสียงหรืออุปกรณ์ผสมเสียงอื่นๆ ไมโครโฟนจะประกอบด้วยขดลวดและแม่เหล็กเป็นหลัก เมื่อเสียงกระทบตัวรับในไมโครโฟนจะทำให้ขดลวดสั่นสะเทือนตัดกับสนามแม่เหล็ก จึงทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการทำงานตรงข้ามกับลำโพง โดยทั่วไปไมโครโฟนใช้รับเสียงพูดหรือเสียงร้องเพลง
5.Microphone

          - Touch screen (ทัชสกรีน)
          ทัชสกรีน คือ จอภาพแบบสัมผัส ซึ่งเป็นจอภาพแบบพิเศษที่เป็นทั้งอุปกรณ์แสดงผลข้อมูล และอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล มักนำไปใช้กับธุรกิจร้านค้า โรงแรม สายการบิน พิพิธภัณฑ์ สถานบันเทิงคาราโอเกะ รวมถึงธุรกิจธนาคาร เช่น เครื่องเอทีเอ็ม ซึ่งผู้ใช้งานเพียงแต่นำนิ้วหรือใช้แท่งคล้ายดินสอหรือปากกา แตะ/กดลงบนตำแหน่งที่ต้องการบนจอภาพ
6.Touch-Screen

2.ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit)
          ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่จะขาดไม่ได้เลยคือหน่วยประมวลผลกลาง หรือ ซีพียู เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ ที่มีความสำคัญมากที่สุดของฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาทางอุปกรณ์อินพุต ตามชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน ส่วนประกอบของหน่วยประมวลผลกลางนั้นประกอบไปด้วย
          1. หน่วยคำนวณ และตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU)
          2. หน่วยควบคุม (Control Unit)
          3. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
7.CPU

3.ส่วนแสดงผล (Output Unit)
          หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์ โดยมากจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
          3.1) หน่วยแสดงผลชั่วคราว (Soft Copy) หมายถึง การแสดงผลออกมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้น แต่เมื่อเลิกการทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไป ไม่เหลือเป็นวัตถุให้เก็บได้ ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์นั้นก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในภายหลัง ได้แก่
          - จอภาพ (Monitor)
8.Monitor

          - อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
9.Projector

          - อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
10.Speaker

          3.2) หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) หมายถึง การแสดงผลที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ หรือให้ผู้ร่วมงานดูในที่ใด ๆ ก็ได้ อุปกรณ์ที่ใช้เช่น
          - เครื่องพิมพ์ (Printer)
11.Printer

          - เครื่องพลอตเตอร์ (Plotter)
12.Plotter

4.หน่วยความจำ (Memory Unit)
          หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งออกหน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และรับผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล และเตรียมส่งออกหน่วยแสดงผลข้อมูลต่อไป ซึ่งหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
          4.1) หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)
          เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
                   4.1.1) หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM) เป็นหน่วยความจำแบบสารกึ่งตัวนำชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถบันทึกซ้ำได้ (อย่างง่ายๆ) เป็นความจำที่ซอฟต์แวร์หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับไมโครโพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจำประเภทนี้แม้ไม่มีไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากน่วยความจำ (nonvolatile)
           โดยทั่วไปจะใช้เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีการแก้ไขอีกแล้วเช่น เก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input output System : BIOS) หรือเฟิร์มแวร์ ที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ใช้เก็บโปรแกรมการทำงานสำหรับเครื่องคิดเลขใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ทำงานเฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมวงจร ควบคุมในเครื่องซักผ้า เป็นต้น
13.Rom-Bios

                   4.1.2) หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM) เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว
           ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น
14.Ram

          4.2) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit)
          สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท ดังนี้
                   4.2.1) แบบจานแม่เหล็ก เป็นอุปกรณ์สำรองข้อมูลที่เป็นลักษณะของจานแม่เหล็กสำหรับบันทึกข้อมูลไว้ภายใน Disk ได้รับความนิยมและใช้งานมานานพอสมควรซึ่งเป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ใช้หลักๆ เลยในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์
15.Harddisk

                   4.2.2) แบบแสง เป็นสื่อเก็บข้อมูลสำรองที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยใช้หลักการทำงานของแสง การจัดการข้อมูลจะคล้ายกับแผ่นจานแม่เหล็ก ต่างกันที่การแบ่งจะเป็นรูปก้นหอย และเริ่มเก็บบันทึกข้อมูลจากส่วนด้านในออกมาด้านนอก ที่เป็นที่นิยมและรู้จักกันดี เช่น CD , DVD
16.CD-DVD

                   4.2.3) แบบเทป เป็นสื่อเก็บข้อมูลที่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมากและเข้าถึงข้อมูลแบบเรียงลำดับต่อเนื่องกันไป มีการผลิตขึ้นมาหลากหลายขนาดแตกต่างกันไป เช่น DAT และ QIC เป็นต้นปัจจุบันไม่ค่อยถือเป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
17.DAT-QIC

                   4.2.4) แบบอื่นๆ เป็นสื่อเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่พบได้ทั่วไปในปัจจุบัน มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น Flash Drive, Thumb Drive , Handy Drive เป็นต้น อีกชนิดคือ Memory Card เพื่อใช้เก็บข้อมูลในกล้องดิจิตอลแบบพกพา